ถ้าเราอยากจะทำเกมด้วยตัวคนเดียวจริงๆ เราจะต้องทำอะไรเป็นบ้าง..?

ตามชื่อบทความ ครั้งนี้เราจะมาอธิบายกันว่าในการทำเกมด้วยคนเดียวจริงๆ เราจะต้องหยิบเอาความสามารถด้านใดมาใช้บ้าง

ซึ่งเอาจริงๆ ก็เป็นไปได้ยากมากๆ ที่คนคนเดียวจะทำให้ทุก Process ของการพัฒนาเกมเกมหนึ่ง ต้องบอกตรงๆ เลยว่าในการพัฒนาเกมนึงเนี่ย.. มันต้องใช้คนที่หลากหลายความสามารถเข้ามาร่วมพัฒนาเกมกัน แต่หากอยากทำเกมเองคนเดียวจริงๆ (หรือที่เรามักจะเรียกกันว่า Indie Game Developer) ก็สามารถทำได้ แต่อาจจะท้าทายมากๆ เช่นเดียวกัน

Planner & Project Manager & Producer

ใช้แล้วล่ะ.. เราจะต้องสิงร่างหน้าที่เหล่านี้ เพราะยังไงแล้วการใช้ชีวิต ก็ต้องมีเรื่องเงินมาเกี่ยวข้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไหนจะต้องกินต้องอยู่ต้องใช้ ซึ่งนี้ก็ต้องนับไปถึงค่าลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ด้วยนะ นั่นก็หมายความว่า

ถ้าเราทำเกมคนเดียว ก็คงจะหมายถึงออกงบคนเดียวไปด้วยเช่นกัน

การบริหารงบและทรัพยากรจึงเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างมาก เพราะหากไม่ได้วางแผนดีๆ โปรเจกต์ที่เราคิดจะทำวันดีคืนดีอาจจะล่มไปแบบคาดไม่ถึงเลยว่าจะเกิดขึ้นเพียงเพราะเราคุม Budget ไม่ดีพอ

Designer & Creative

ส่วนที่สองที่เราจะต้องเข้าไปสิงด้วยก็คือกลุ่มงานออกแบบสร้างสรรค์ หรือก็คือเราจะต้องสร้างสรรค์ผลงานได้ด้วยตนเอง ออกแบบได้ด้วยตนเองนั่นเอง ซึ่งการออกแบบที่ผมหมายถึงคือออกแบบทั้งระบบเกม หน้าตาของเกม โทนสี สไตล์อาร์ต เนื้อหา และส่วนต่างๆ อีกมากมาย

ต้องบอกเลยว่าถ้าเป็นงาน Production ใหญ่ๆ นี่เราจะต้องมี Designer ในด้านต่างๆ โดยเฉพาะเลย แต่ถ้าเราทำเอง แน่นอนล่ะว่าเราก็ต้องทำงานออกแบบทุกส่วนนี้เอง ถ้าถามว่ามันยากยังไง คงต้องอธิบายแบบชัดเจนถึงความจริงที่ว่า

เราไม่เก่งไปซะทุกด้านหรอกนะ

หรือก็คือเราอาจจะถนัดด้านใดด้านหนึ่ง เช่น เราถนัดด้านการออกแบบระบบเกม แต่เราไม่ถนัดด้านงานเสียง หรือออกแบบเพลงประกอบเลย ซึ่งถ้าเราจะแก้จุดบกพร่องตรงนี้จริงๆ ก็ต้องยอมหาคนมาช่วยในส่วนที่เราไม่ถนัด แต่ถ้าอยากคิดจะทำคนเดียวอยู่จริงๆ ล่ะก็เราเองก็สามารถเรียนรู้เรื่องเหล่านี้ได้ แต่ก็ยังยืนยันคำเดิมว่าเราจะไม่มีทางถนัดทุกด้านจริงๆ

Developer

นี่คืองานที่เราต้องใช้ศาสตร์ที่หลายๆ คนอาจจะไม่ค่อยชอบมากนักอย่าง คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ เพื่อนำมาประยุกย์ใช้กับเกมของเรา เพื่อสร้างระบบที่เราออกแบบมาไว้ได้นั่นเอง (และแน่นอนรวมไปถึงการเขียนโปรแกรม และการใช้งาน Game Engine ด้วย)

ผมเคยเจอหลายคนอยากทำเกมแต่ไม่อยากเขียนโค้ด หรืออยากมาทำอะไรด้านนี้สักเท่าไหร่ แต่ก็ต้องยอมจริงๆ เพราะปัจจุบันเรายังไม่มีเทคโนโลยีที่ช่วยให้เราสร้างเกมโดยไม่พึ่งการเขียนโค้ด แม้จะมี AI แต่ถ้าเราออกแบบระบบเกมที่ซับซ้อนยังไงการเขียนโค้ดด้วยคนก็ยังเป็น Best Solution อยู่ดี

แต่ถ้าเราไม่ไหวจริงๆ เราอาจจะลองทำเกมที่มี Game Engine ที่รองรับการทำเกมโดยไม่พึ่งการเขียนโค้ดไปก่อนก็ได้เช่น RPG Maker สำหรับการทำเกมแนว RPG แบบง่ายๆ และเกมเพลย์สุดคลาสสิค หรือจะเป็น Ren'Py สำหรับการทำเกมแนว Visual Novel

แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องยืนยันคำเดิมเหมือนกันว่าถ้าเราอยากจะทำเกมที่เราได้ออกแบบระบบมาอย่างซับซ้อนยังไงก็ต้องพึ่งการเขียนโค้ดอยู่ดี

งานทำ Assets ต่างๆ

ทั้งการทำ Sprites สำหรับเกมแนว 2D หรือการทำ 3D Model สำหรับเกม 3D การจะทำ Assets เหล่านี้เราก็จะต้องมีความสามารถด้านงานศิลป์นั้นโดยตรง ซึ่งบางคนอาจจะถนัด 2D หรือบางคนก็อาจจะถนัด 3D มากกว่าก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล และแน่นอนว่า Assets ไม่ได้มีแค่นี้ มันยังมีพวกเสียง และอื่นๆ อีกมากมายให้รอปั่นอยู่

แถมให้อีกอย่างคือเรามีสิ่งที่เรียกว่า "Technical Artist" ซึ่งจะดูแลด้านการสร้างงานกราฟิกที่ควบคุมได้ เพราะปกติแล้วพวก Assets ทั่วไป เราก็คงได้แค่ดึงมาแสดงผลเฉยๆ ซึ่งมันก็เป็นข้อจำกัดด้านความสร้างสรรค์อยู่ ซึ่งงานส่วนนี้แหละที่จะสร้างกราฟิกที่เราสามารถเล่นกับมันได้ เช่น การปรับให้เสื้อตัวละครเป็นสี Rainbow ที่เปลื่ยนสีอยู่ตลอดเวลา หรือการทำท้องฟ้าที่มีก้อนเมฆเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ และมันยังไปได้ลึกกว่านั้นก็คือการทำกราฟิกที่แสดงผลน้ำในเกมให้สมจริงมากๆ ก็ทำได้ (เพียงแต่มันก็ต้องเพิ่งทั้งศาสตร์และศิลป์ไปในตัวด้วย อยากทำจริงๆ ก็ต้องใช้เวลาเรียนรู้หน่อยนะ)

Tester & QA & QC

ก่อนผมเข้าไปทำงานในบริษัททำเกมครั้งหนึ่งในหน้าที่เล็กๆ ตอนแรกผมไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้เลย จนมาเจอปัญหากับตัวจนต้องกลับมาบอกตัวเองว่า

เราควรใส่ใจกับการ Test ให้มากๆ เลยนะ

ซึ่งถ้าอยากให้เกมเราออกมาดีมีคุณภาพ มันก็ต้องไร้ปัญหาทางเทคนิคมากวนใจเช่น บัค หรือเกม Crash ไป ซึ่งถ้าเกิดกับเราเราเองก็คงหงุดหงิดไปไม่น้อยเลยใช่ไหมล่ะ ผู้เล่นก็เหมือนกัน เขาไม่อยากเห็นเกมของเรามีปัญหาให้มากวนใจระหว่างที่สนุกกับการเล่นเกมของเรา

เพราะฉะนั้นแล้ว เราก็ต้องทำเกมให้ออกมามีปัญหาน้อยที่สุด ซึ่งนั่นจะทำให้เราต้องทำเสียงที่เรียกว่า Testing หรือการทดสอบนั่นเอง มันเป็นหนทางที่จะทำให้เรารู้ว่ามีปัญหาตรงไหนบ้าง และเมื่อรู้ถึงปัญหาก็ต้องหาสาเหตุไปถึงต้นทางจริงๆ เพราะถ้าแก้แบบทำไปงั้นเราอาจจะเจอปัญหาที่เดิมจุดเดิมอีกก็ได้

ถึงแม้การ Testing จะช่วยให้เราเจอปัญหาและนำพาไปสู่การแก้ไขให้เกมดีขึ้นได้ แต่วิธีนี้ก็อาจจะไม่ได้ทำให้เราเจอปัญหาแบบ 100% ได้ ถึงอย่างนั้นเราก็ต้องพยายามทำให้เกมมีปัญหาน้อยที่สุดก่อนที่จะส่งเกมให้กับผู้เล่นได้เล่นกันอย่างสนุกต่อไป

Marketing & Publishing & PR

มาถึงส่วนสุดท้ายกันแล้ว นั่นก็คืองานการตลาดและการขาย ซึ่งเป็นกระบวนการสุดท้ายของโปรเจกต์เกมหนึ่งเกม ถ้าเราไม่ทำก็ได้นะ จะแค่เอาไปวางลงสักที่หนึ่ง แล้วใครอยากมาเล่นเกมเราก็ค่อยให้เขาตัดสินใจเอา แต่การทำแบบนี้ก็เท่ากับว่าเรายอมรับแล้วว่าเราอาจจะไม่ได้คืนทุนจากทุนที่เราต้องลงแรงและลงเงินไป

การทำการตลาดก็คือการประกาศให้กับผู้ที่สนใจว่าเรามีเกมดีๆ อยากให้ทุกคนได้มาลองเล่นกัน ทำให้เกิดการเป็นที่รู้จักในชุมชนผู้เล่นเกมนั่นเอง ซึ่งการทำการตลาดมันก็มีหลากหลายวิธีการ ซึ่งสามารถศึกษาได้ตามความสนใจได้เลย

หรือถ้าเราไม่อยากปวดหัวกับเรื่องพวกนี้เราก็สามารถปล่อยเรื่องนี้ไว้ให้กับ Game Publisher ก็ได้เช่นกัน ทางนั้นจะทำหน้าที่ในการทำการตลาด การขายให้เอง เพียงแต่เราก็อาจจะต้องแบ่งส่วนแบ่งให้กับพวกเขาด้วยเหมือนกัน ก็ขึ้นอยู่ว่าจะตกลงกันยังไงนะ

แม้ว่ากระบวนการเหล่านี้จะดูยากและท้าทายสำหรับการทำด้วยคนเดียวทั้งหมด และผมก็เชื่อว่าคุณที่กำลังอ่านบทความนี้อยู่ก็สามารถทำได้เช่นกัน เพราะในขณะที่เราใช้ชีวิตอยู่ตอนนี้ เราก็มีสิทธิ์ที่จะเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ได้ ขอแค่ตั้งใจทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ และพยายามทำมันให้สำเร็จ เราเห็นตัวอย่างนักพัฒนาเกมอินดี้มามากมาย ผลงานของพวกเขาก็เป็นที่ยอมรับกันมาถึงทุกวันนี้ ด้วยมือของพวกเขาเอง

หวังว่าบทความในวันนี้จะมีประโยชน์ต่อใครไม่มากก็น้อยนะ ไว้เจอกันคราวหน้า!